ธรรมะ ความลำเอียง กับ สีเหลืองสีแดง

October 7, 2009

ผมไม่เคยรู้จักท่าน ว.วชิรเมธีมาก่อน ไม่รู้จักว่าท่านเป็นใครมาจากไหนหรือหน้าตายังไง แต่พอดีคืนวันอาทิตย์ได้ดูรายการของวู๊ดดี้ ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่ดูรายการนี้เหมือนกัน ก็เป็นความบังเอิญทำให้ได้ฟังท่านตอบคำถาม นั่งดูท่านตอบคำถามจนจบรายการ สิ่งแรกที่คิดเลย คือท่านมีไหวพริบ เฉลียวฉลาดที่จะตอบคำถาม และไม่เพียงแต่ตอบคำถามได้แล้ว ทุกคำตอบของท่านยังแฝงไปด้วยคำสอนต่างๆ

วันรุ่งขึ้นเช้าวันจันทร์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก็เป็นปกติที่จะแวะซื้อหนังสือซักเล่มไว้อ่านบนเครื่อง ผมได้เห็นหนังสือ “มองลึก นึกไกล ใจกว้าง”  ของท่านวางอยู่ที่ชั้นขายดีเป็นอันดับหนึ่ง ก็ไม่ลังเลที่จะซื้อเอามาอ่าน แค่เพียงอยากอ่านความคิดจากสิ่งที่ท่านเขียน และอยากจะรู้จักท่านให้มากขึ้นจากงานเขียน

ที่ผมต้องกล่าวถึงท่านก็เพราะว่าสิ่งที่ผมเขียนต่อไปนี้ ได้มาจากคำสอนจากหนังสือของท่าน

หลังจากอ่านจบ ก็ได้ข้อคิดดีๆหลายๆอย่างจากที่ท่านเขียน และก็เหมือนทำให้เกิดปัญญา ที่จะตอบโจทย์ข้อนึงที่ติดอยู่ในใจผมมาหลายปีว่า “ทำอย่างใรให้คนไทยรักกันสามัคคีกัน ไม่แบ่งแยกสีเหมือนที่เป็นกันอยู่ตอนนี้” ผมเคยคิดอยู่เสมอว่าต้องมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นก่อน ให้พังกันไปข้างนึง แล้วก็กลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างก็อาจจะดีขึ้น

แล้วความคิดของผมก็ได้เปลี่ยนไป สิ่งที่ผมเคยคิดว่าอยากให้เกิดขึ้นมันคงไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง การแก้ปัญหาคงไม่ใช่แก้ที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องแก้ที่ใจของเราเองเป็นหลัก  คำตอบของผมในตอนนี้ สิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ก็คือ “ธรรมะ” ซึ่งหลายๆคนคงอาจคิดได้มานานแล้ว แต่สำหรับผมมันยากที่ผมจะเชื่อตัวเองว่าทำไมผมถึงคิดอย่างนี้  ทั้งๆที่ตัวผมเองเข้าวัดนับครั้งได้ บทสวดก็ท่องไม่ได้เลยซักกะบท คือว่าธรรมะกับตัวผมมันห่างไกลกันซะจริงๆ

ธรรมะมันอยู่ใกล้ๆตัวคนไทยทุกๆคน แต่เรากลับไม่ได้นึกถึงเลย

หนังสือเล่มนี้ให้ข้อคิดอะไรดีๆหลากหลายมาก แต่สิ่งที่ผมอยากให้คนไทยมี ซึ่งจะช่วยให้คนไทยไม่แตกแยกกัน ก็คือ “ความใจกว้าง” ตามที่ท่าน ว.วชิรเมธี ได้เขียนไว้ในภาคที่ 1 ธรรมะกับการมองโลก หัวข้อ “ใจกว้าง : ศักยภาพของหัวใจ รักคนได้ทั้งโลก”

ผมเชื่อว่าถ้าทุกคนใจกว้าง มีธรรมะอยู่ในใจ ก็คงจะช่วยแก้ปัญหาความแตกแยกในสังคมไทยในรอบห้าปีที่ผ่านมานี้ได้ ไม่มากก็น้อย

ผมสรุปได้ว่า การที่คนไทยแตกแยกแบ่งสีกันอยู่ทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะ “ความลำเอียง” ซึ่งแบ่งเป็น 4 อย่าง

ความลำเอียงเพราะรัก – คนนี้เชียร์สีเหลืองสีแดงเหมือนเรา ก็ถือว่าคนๆนี้เป็นพวกเดียวกันกับเรา
ความลำเอียงเพราะชัง – คนนี้ไม่ใช่พรรคเดียวสีเดียวกับฉัน ดังนั้นมันไม่ใช่พวกเดียวกัน เกลียดมัน ไม่ต้องไปฟังมัน
ความลำเอียงเพราะหลง – หรือลำเอียงเพราะโง่ เพราะรับข้อมูลข่าวสารน้อย ทำการบ้านมาน้อย ใครมาเป่าหูก็เลยหลงเชื่อ หูเบา
ความลำเอียงเพราะกลัว – กลัวว่าเราจะไม่เข้าพวก ถ้าเราไม่อยู่สีแดงสีเหลืองเหมือนเขา งั้นเขาว่าอะไรมาก็ว่าตามเขาไปดีกว่า

ทั้งๆที่เมื่อก่อนใครจะใส่เสื้อสีอะไร ก็ยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้ คุยกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ แต่ตอนนี้ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว แบบว่าอย่าเจอหน้ากันเลยดีกว่าถ้าไม่ได้อยู่สีเดียวกันหรือพรรคเดียวกันกับเรา

ทุกอย่างอยู่ที่ใจ แคบที่สุดก็ใจ กว้างที่สุดก็ใจ ลึกที่สุดก็ใจ ตื้นที่สุดก็ใจ สูงที่สุดก็ใจ ต่ำที่สุดก็ใจ ถ้าอยากให้ใจมีคุณภาพก็ต้องฝึก

การฝึกให้ “ใจกว้าง” ก็คือการฝึกใจของเรานั้นให้กว้างขวาง หลุดออกจากอคติ ความลำเอียงทั้ง 4 อย่าง ถ้าเราลำเอียง จิตใจของเราก็ไม่ปกติ จิตใจของเราจะสูญเสียปกติภาพ และทำให้เรามีความรักที่แสนจะจำกัด

ถ้าเราสามารถฝึกใจให้ก้าวข้ามความลำเอียงทั้ง 4 ที่กล่าวมาได้สำเร็จเมื่อไหร่ ใจของเราจะสูงกว่าท้องฟ้า ลึกกว่าทะเล กว้างกว่าผืนปฐพี สุดท้ายถ้าทุกคนอ่านแล้วก็ปล่อยให้ผ่านเลยไป ไม่ลงมือทำ ทุกอย่างก็จะไร้ค่า


ชาติไทยกับเหลืองแดง

April 19, 2009

ทำไมเกลียดเสื้อเหลืองแล้วต้องเข้าข้างเสื้อแดง
ทำไมเกลียดเสื้อแดงแล้วต้องเข้าข้างเสื้อเหลือง
ทั้งสองข้างคิดว่าตัวเองเป็นสิ่งดีและฝ่ายตรงข้ามเป็นสิ่งชั่ว
ทั้งสองฝ่ายมีส่วนดีและมีส่วนเสีย ที่จริงก็แค่ความเห็นที่แตกต่าง
ทั้งสองฝ่ายเป็นแค่ซ้ายกับขวา
ชาติไทยจะล่มจมก็เพราะพวกบ้าสีนี่แหละ

— — คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต คิดต่างใช่ว่าผิดอย่างคุณคิดเสมอไป


Not expecting miracles

January 9, 2009

During an interview, the president-elect, Barack Obama, was asked what the voters expect from him when he takes the highest office.

Obama : ‘You know, they are not expecting miracles.’


หัวหน้าห้อง

November 30, 2008

นายกรัฐมนตรี ก็หมายถึงหัวหน้าประเทศไทย ถ้าจะเปรียบเทียบกับห้องเรียนก็คือหัวหน้าห้อง ถ้าเป็นหัวหน้าห้องแล้วดูแลลูกน้องได้ไม่ดี ลูกน้องไม่พอใจ จึงประท้วงพอมีการประท้วง ในฐานะหัวหน้า ก็ต้องแก้ปัญหา แต่ถ้าทำไม่ได้ แสดงว่าไม่ควรเป็นหัวหน้าแล้ว เพราะว่าดูแลลูกน้องไม่ได้ ไม่มีคนเชื่อฟัง คุณต้องแสดงสปิริต เพื่อให้คนที่สามารถดูแลได้มาดูแล แล้วห้องเรียนก็สงบ ถ้าเป็นหัวหน้าประเทศแล้ว บ้านเมืองไม่สงบแล้วจะเป็นทำไม


วัฒนธรรมไทย vs กฎหมาย (ในความคิดของผม)

August 31, 2008

บังเอิญเมื่อกี้มีโอกาสได้คุยกับคนที่มีความใกล้ชิดมากคนนึงกับหนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาศาลแพ่ง เรื่องคดีที่พันธมิตรบุกเข้าไปในทำเนียบ คุยอะไรไม่รู้เยอะแยะจำไม่ได้แล้ว แต่พอสรุปได้ว่าพวกท่านเครียดมากนะครับ และทำงานกันเหนื่อยมากเลย ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ ขอไม่ออกความเห็น

ผมเป็นคนนึงที่ใช้ชีวิตอยู่อเมริกา DMV Area (DC, Maryland and Virginia) มานานมากๆ ได้ซึมซับและเคยชินกับกฎระเบียบที่เข้มงวดเด็ดขาดที่นั่นมากพอสมควร กฎก็เป็นกฎไม่มีการอะลุ่มอล่วย ผิดคือผิด ถูกคือถูก คนที่อยู่ที่นั่นคงจะรู้ว่าเป็นยังไง (ส่วนตัวผมอยากให้ประเทศไทยเป็นอย่างนี้มากเลย) กฎหมายจะได้ศักดิ์สิทธิ์ คนไทยจะได้มีระเบียบมากกว่านี้

(ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนเลยว่าไม่ได้ชอบรัฐบาลนี้เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้อยู่ข้างไหน 100% ทั้งสองฝั่งมีทั้งดีและไม่ดี แต่ผมชอบที่มีการตรวจสอบความโปร่งใสของรัฐบาลให้ประชาชนได้รับรู้)

ด้วยความที่ขับรถแถวถนน Constitution Ave บ่อยมาก ผ่านทั้ง White house, Monument, US Capital เห็น security ของเขาหนาแน่นมาก ผมก็เลยลองคิดเล่นๆว่า ถ้าสิ่งที่พันธมิตรทำอยู่ ถ้าเป็นที่ดีซีหละ พันเปอร์เซ็นคงไม่มีการอะลุ่มอล่วย อย่าแม้แต่คิดว่าจะเข้าไปเหยียบเลย และก็พันเปอร์เซ็นคงโดนสลายม๊อบตั้งแต่วันแรกแล้ว คงไม่มีทางได้เข้าไปนอนเล่นในทำเนียบได้ 4-5 วันอย่างนี้ เอาเป็นว่าผมคิดว่าประชาชนของเค้าคงไม่แม้แต่ที่จะคิดว่าจะไปยึด White house (It is just impossible.)

แต่ที่ประเทศไทยเราทำได้ (Impossible is nothing.) ก็เพราะ วัฒนธรรมไทยเป็นวัฒนธรรมที่ไม่ทำร้ายกัน เห็นอกเห็นใจกัน แบ่งปันช่วยเหลือกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา มีการอะลุ่มอล่วยและอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ดีมากๆ ไม่มีที่ไหนในโลกเป็นแบบนี้แน่นอน

แต่มันก็เป็นดาบสองคมในเวลาเดียวกัน ซึ่งทำให้พันธมิตรสามารถทำสิ่งที่ทำอยู่ได้ในขณะนี้ เข้าไปนอนฟรีในทำเนียบ ปิดสนามบิน (งงแล้วว่ามันผิดหรือไม่ผิดกฎหมายกันแน่ ???) ที่รู้ๆคืองานนี้คณะผู้พิพากษาเหนื่อย เครียดมากนะครับขอบอก เพราะผมว่าวัฒนธรรมไทยกับกฎหมายบางทีมันไปด้วยกันไม่ค่อยได้ และวัฒนธรรมไทยก็ไม่ได้สอนให้รัฐบาลหรือตำรวจสามารถทำรุนแรงเกินไปกับประชาชน สรุปแล้วรัฐบาลเวลานี้ลำบากครับ ทำอะไรไม่ได้เลย ทางเลือกคงเหลือแค่นายกลาออก หรือยุบสภา พันธมิตรถึงจะยอมกลับบ้านนอน …


การรบทุกครั้งล้วนแลกกับหยดเลือดและน้ำตา

August 29, 2008

สถานการณ์ประท้วงในทำเนียบเทา ดูท่าทีก็คงไม่มีใครยอมใคร พันธมิตรไม่ชนะไม่กลับบ้าน รัฐบาลสมัครยังไงก็ไม่ลาออก
ผมเป็นคนดูอยู่ต่างประเทศก็ได้แต่ส่งใจไป และภาวนาอย่าให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงเลย ไม่อยากเห็นเหตุการณ์เหมือนพฤษภาทมิฬอีกครั้ง

เพราะยังไงก็ตาม “การรบทุกครั้งล้วนแลกกับหยดเลือดและน้ำตา


พันธมิตรมารวมตัวกันที่ทำเนียบ

August 28, 2008
ภาพนี้ขโมยมาจาก www.manager.co.th

ภาพนี้ขโมยมาจาก http://www.manager.co.th

เห็นจากภาพแล้วไม่มีคำบรรยาย ภาพนี้ถูกถ่ายบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ในทำเนียบรัฐบาล เมื่อช่วงเย็นวันอังคารที่ 26 สิงหาคม 2551

ใครต่อยก่อนมีสิทธิ์แพ้สูง

August 28, 2008

ผมเป็นคนนึงที่ติดตามกลุ่มพันธมิตรมาตลอด จริงๆผมก็รับฟังข่าวสารทุกด้านทั้งจากฝ่ายพันธมิตรและฝ่ายรัฐบาล
แต่เมื่อสองวันก่อนที่กลุ่มพันธมิตรยกพวกไปบุกสถานี NBT
ข้อหาก็คือว่าทาง NBT ให้ข่าวไม่เป็นธรรมเข้าข้างรัฐบาลอย่างเดียว
ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่าทาง NBT ให้ข่าวเข้าข้างรัฐบาล
แต่จะว่าไปก็เหมือน astv หรือ Manager ก็ให้ข่าวเข้าข้างพันธมิตรเหมือนกัน
สรุปว่าที่บุกไปยึดสถานี NBT ผมก็ไม่เข้าใจว่ายึดไปแล้วได้อะไรขึ้นมา สรุปก็ไปรวมกันที่ทำเนียบเทาเหมือนเดิม
การกระทำครั้งนี้เหมือนเป็นการทำร้ายตัวเอง ไม่มีข่าวที่เป็นบวกออกมาเลย
ซึ่งผมก็ไม่ลำเอียงที่จะบอกว่าผมไม่เห็นด้วยเหมือนกันกับการกระทำบุก NBT ครั้งนี้ของพันธมิตร
เป็นการกระทำที่เหมือนจงใจให้คนรับฟังสื่อข้างเดียว
ซึ่งในโลกปัจจุบันคนเรามีสิทธิ์ที่จะรับฟังสื่อทั้งสองด้าน แล้วเอาไปคิดเองไตร่ตรองเอาเอง
มาถึงตอนนี้ ทางออกของพันธมิตร ดูเหมือนว่าจะมีเหลือไม่เยอะซะเท่าไหร่
ยิ่งนายกสมัคร อดทนรอได้นานเท่าไหร่ ทางพันธมิตรเองจะยิ่งลำบาก
ถ้ามองเป็นเกมส์ เกมส์นี้ใครต่อยก่อนมีสิทธิ์แพ้สูง
ในมุมมองของผม ซึ่งทางเดียวที่รัฐบาลจะแพ้ก็คือ รัฐบาลหน้ามืดเข้าไปทลายม๊อบทำร้ายประชาชน
ซึ่งผมคิดว่าและหวังว่ารัฐบาลคงจะไม่ทำ เพราะถ้าทำก็เหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย
และก็คงเป็นสิ่งที่ทางพันธมิตรต้องการ เพราะยังไงแล้วทหารอาจจะต้องออกมาปกป้องประชาชนอยู่ดี
เพราะจากหลายๆครั้งที่ผ่านมา ถ้ามีการสลายม๊อบแล้วมีการนองเลือด ประชาชนล้มตายบาดเจ็บ
นายกก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี แล้วสุดท้ายก็ต้องลาออก
ตอนนี้คงไม่มีใครตอบได้ว่าเกมส์จะจบแบบไหน ใครจะเป็นพระเอกหรือผู้ร้าย
ก็คงต้องติดตามกันต่อไป พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ …


เมื่อวาน วันนี้ กับ ประวัติศาสตร์ไทย

August 27, 2008

เมื่อวานคงเป็นอีกวันหนึ่งที่ต้องถูกจารึกอยู่ในหน้าหนังสือประวัติศาสตร์ไทย เพราะว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (People’s Alliance for Democracy: PAD) นำโดย 5 แกนนำ (สนธิ ลิ้มทองกุล, พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, สมศักดิ์ โกศัยสุข, พิภพ ธงไชย และ สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์) ได้บุกไปยึดสถานที่สำคัญหลายๆแห่ง แต่ที่สำคัญที่สุดก็คงจะเป็นทะเนียบของไทย

ถึงวันนี้ก็เป็นวันที่สองแล้ว ตอนนี้เวลา 17:45 ตามเวลาไทย นายสมัคร นายกรัฐมนตรีได้ให้อำนาจ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จัดการขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มพันธมิตร ทางศาลอาญาก็อนุมัติหมายจับกุมกลุ่มแกนนำ 5 คนบวกกับอีก 4 แนวร่วม เกมส์นี้คงยังไม่จบง่ายๆ ใครต่อยก่อนมีสิทธิ์แพ้ ประชาชนคงไม่ยอมให้ตำรวจบุกเข้ามาจับแกนนำได้ …