ผมไม่เคยรู้จักท่าน ว.วชิรเมธีมาก่อน ไม่รู้จักว่าท่านเป็นใครมาจากไหนหรือหน้าตายังไง แต่พอดีคืนวันอาทิตย์ได้ดูรายการของวู๊ดดี้ ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่ดูรายการนี้เหมือนกัน ก็เป็นความบังเอิญทำให้ได้ฟังท่านตอบคำถาม นั่งดูท่านตอบคำถามจนจบรายการ สิ่งแรกที่คิดเลย คือท่านมีไหวพริบ เฉลียวฉลาดที่จะตอบคำถาม และไม่เพียงแต่ตอบคำถามได้แล้ว ทุกคำตอบของท่านยังแฝงไปด้วยคำสอนต่างๆ
วันรุ่งขึ้นเช้าวันจันทร์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก็เป็นปกติที่จะแวะซื้อหนังสือซักเล่มไว้อ่านบนเครื่อง ผมได้เห็นหนังสือ “มองลึก นึกไกล ใจกว้าง” ของท่านวางอยู่ที่ชั้นขายดีเป็นอันดับหนึ่ง ก็ไม่ลังเลที่จะซื้อเอามาอ่าน แค่เพียงอยากอ่านความคิดจากสิ่งที่ท่านเขียน และอยากจะรู้จักท่านให้มากขึ้นจากงานเขียน
ที่ผมต้องกล่าวถึงท่านก็เพราะว่าสิ่งที่ผมเขียนต่อไปนี้ ได้มาจากคำสอนจากหนังสือของท่าน
หลังจากอ่านจบ ก็ได้ข้อคิดดีๆหลายๆอย่างจากที่ท่านเขียน และก็เหมือนทำให้เกิดปัญญา ที่จะตอบโจทย์ข้อนึงที่ติดอยู่ในใจผมมาหลายปีว่า “ทำอย่างใรให้คนไทยรักกันสามัคคีกัน ไม่แบ่งแยกสีเหมือนที่เป็นกันอยู่ตอนนี้” ผมเคยคิดอยู่เสมอว่าต้องมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นก่อน ให้พังกันไปข้างนึง แล้วก็กลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างก็อาจจะดีขึ้น
แล้วความคิดของผมก็ได้เปลี่ยนไป สิ่งที่ผมเคยคิดว่าอยากให้เกิดขึ้นมันคงไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง การแก้ปัญหาคงไม่ใช่แก้ที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องแก้ที่ใจของเราเองเป็นหลัก คำตอบของผมในตอนนี้ สิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ก็คือ “ธรรมะ” ซึ่งหลายๆคนคงอาจคิดได้มานานแล้ว แต่สำหรับผมมันยากที่ผมจะเชื่อตัวเองว่าทำไมผมถึงคิดอย่างนี้ ทั้งๆที่ตัวผมเองเข้าวัดนับครั้งได้ บทสวดก็ท่องไม่ได้เลยซักกะบท คือว่าธรรมะกับตัวผมมันห่างไกลกันซะจริงๆ
ธรรมะมันอยู่ใกล้ๆตัวคนไทยทุกๆคน แต่เรากลับไม่ได้นึกถึงเลย
หนังสือเล่มนี้ให้ข้อคิดอะไรดีๆหลากหลายมาก แต่สิ่งที่ผมอยากให้คนไทยมี ซึ่งจะช่วยให้คนไทยไม่แตกแยกกัน ก็คือ “ความใจกว้าง” ตามที่ท่าน ว.วชิรเมธี ได้เขียนไว้ในภาคที่ 1 ธรรมะกับการมองโลก หัวข้อ “ใจกว้าง : ศักยภาพของหัวใจ รักคนได้ทั้งโลก”
ผมเชื่อว่าถ้าทุกคนใจกว้าง มีธรรมะอยู่ในใจ ก็คงจะช่วยแก้ปัญหาความแตกแยกในสังคมไทยในรอบห้าปีที่ผ่านมานี้ได้ ไม่มากก็น้อย
ผมสรุปได้ว่า การที่คนไทยแตกแยกแบ่งสีกันอยู่ทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะ “ความลำเอียง” ซึ่งแบ่งเป็น 4 อย่าง
ความลำเอียงเพราะรัก – คนนี้เชียร์สีเหลืองสีแดงเหมือนเรา ก็ถือว่าคนๆนี้เป็นพวกเดียวกันกับเรา
ความลำเอียงเพราะชัง – คนนี้ไม่ใช่พรรคเดียวสีเดียวกับฉัน ดังนั้นมันไม่ใช่พวกเดียวกัน เกลียดมัน ไม่ต้องไปฟังมัน
ความลำเอียงเพราะหลง – หรือลำเอียงเพราะโง่ เพราะรับข้อมูลข่าวสารน้อย ทำการบ้านมาน้อย ใครมาเป่าหูก็เลยหลงเชื่อ หูเบา
ความลำเอียงเพราะกลัว – กลัวว่าเราจะไม่เข้าพวก ถ้าเราไม่อยู่สีแดงสีเหลืองเหมือนเขา งั้นเขาว่าอะไรมาก็ว่าตามเขาไปดีกว่า
ทั้งๆที่เมื่อก่อนใครจะใส่เสื้อสีอะไร ก็ยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้ คุยกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ แต่ตอนนี้ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว แบบว่าอย่าเจอหน้ากันเลยดีกว่าถ้าไม่ได้อยู่สีเดียวกันหรือพรรคเดียวกันกับเรา
ทุกอย่างอยู่ที่ใจ แคบที่สุดก็ใจ กว้างที่สุดก็ใจ ลึกที่สุดก็ใจ ตื้นที่สุดก็ใจ สูงที่สุดก็ใจ ต่ำที่สุดก็ใจ ถ้าอยากให้ใจมีคุณภาพก็ต้องฝึก
การฝึกให้ “ใจกว้าง” ก็คือการฝึกใจของเรานั้นให้กว้างขวาง หลุดออกจากอคติ ความลำเอียงทั้ง 4 อย่าง ถ้าเราลำเอียง จิตใจของเราก็ไม่ปกติ จิตใจของเราจะสูญเสียปกติภาพ และทำให้เรามีความรักที่แสนจะจำกัด
ถ้าเราสามารถฝึกใจให้ก้าวข้ามความลำเอียงทั้ง 4 ที่กล่าวมาได้สำเร็จเมื่อไหร่ ใจของเราจะสูงกว่าท้องฟ้า ลึกกว่าทะเล กว้างกว่าผืนปฐพี สุดท้ายถ้าทุกคนอ่านแล้วก็ปล่อยให้ผ่านเลยไป ไม่ลงมือทำ ทุกอย่างก็จะไร้ค่า